วันอังคารที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2551

น้ำมันไพล


สรรพคุณน้ำมันไพล
รักษาอาการเคล็ดขัดยอก ฟกช้ำบวม ข้อเท้าแพลงใช้หัวไพลฝนทาแก้ฟกบวม เคล็ด ขัด ยอกใช้เหง้าไพล ประมาณ 1 เหง้า ตำแล้วคั้นเอาน้ำทาถูนวดบริเวณที่มีอาการ หรือตำให้ละเอียด ผสมเกลือเล็กน้อยคลุกเคล้า แล้วนำมาห่อเป็นลูกประคบ อังไอน้ำให้ความร้อน ประคบบริเวณปวดเมื่อยและบวมฟกช้ำ เช้า-เย็น จนกว่าจะหาย หรือทำเป็นน้ำมันไพลไว้ใช้ก็ได้ โดยเอาไพล หนัก 2 กิโลกรัม ทอดในน้ำมันพืชร้อนๆ 1 กิโลกรัม ทอดจนเหลืองแล้วเอาไพลออก ใส่กานพลูผงประมาณ 4 ช้อนชา ทอดต่อไปด้วยไฟอ่อนๆ ประมาณ 10 นาที กรองแล้วรอจนน้ำมันอุ่นๆ ใส่การบูรลงไป 4 ช้อนชา ใส่ภาชนะปิดฝามิดชิด รอจนเย็น จึงเขย่าการบูรให้ละลาย น้ำมันไพลนี้ใช้ทาถูนวดวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น หรือเวลาปวด (สูตรนี้เป็นของ นายวิบูลย์ เข็มเฉลิม อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา)

น้ำมันงากลิ่นลาเวนเดอร์


ลาเวนเดอร์ ช่วยกำจัดแบคทีเรีย และช่วยกระตุ้นให้ร่างกายขับเชื้อโรคออกไป ทำให้สงบ และผ่อนคลาย ช่วยให้อารมณ์ เกิดความสมดุล ถ้าใช้ในการนวด จะช่วยให้นอนหลับสบายและผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ทำงานหนัก ถ้าใช้ผสมกับครีม-โลชั่นจะช่วยบำรุงผิวและลดความมันบนใบหน้า และยังช่วยสมานแผลได้อีกด้วย

การนวด โดยนำน้ำมันหอมระเหยมาใช้ในการนวด วิธีนี้เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมาก เพราะเป็นการใช้ น้ำมันหอมระเหยประกอบกับการนวดสัมผัส ทำให้ น้ำมันหอมระเหยซึมผ่านผิวหนังได้ดี ปกติการนวดอย่างเดียวทำให้รู้สึกสบาย เมื่อได้ผสมผสานกับคุณสมบัติพิเศษของน้ำมันหอมระเหยด้วยแล้ว ยิ่งทำให้การนวดนั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ฤทธิ์และวิธีใช้น้ำมันหอมระเหย
ทางผิวหนัง
- ระงับเชื้อจากบาดแผล แมลงกัดต่อย ฯลฯ เช่น น้ำมันไทม์ น้ำมันยูคาลิปตัส น้ำมันกานพลู น้ำมันลาเวนเดอร์ และน้ำมันมะนาว - แก้อาการอักเสบ สำหรับแผลพุพอง บาดแผลติดเชื้อ กระทบกระแทก ฟกช้ำ ฯลฯ เช่น น้ำมันแคโมมิลล์ และน้ำมันลาเวนเดอร์ - ฆ่าเชื้อรา โรคน้ำกัดเท้า ขี้กลาก เช่น น้ำมันลาเวนเดอร์ และน้ำมันยางไม้หอม - ช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อสมานแผล เช่น น้ำมันลาเวนเดอร์น้ำมันกุหลาบ และน้ำมันเจอเรเนียม - ระงับกลิ่น ผู้ที่มีเหงื่อออกมาก ทำความสะอาดบาดแผล เช่นน้ำมันลาเวนเดอร์ น้ำมันไทม์ และน้ำมัน ตะไคร้ระบบไหลเวียนกล้ามเนื้อและข้อต่อน้ำมันหอมระเหยถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิตได้ง่ายทางผิวหนังและเยื่อบุทำให้กระจายไปทั่วร่างกาย น้ำมันที่ทาแล้วร้อนไม่มีผลเพียงแต่การไหลเวียนของโลหิตเท่านั้นแต่มีผลต่ออวัยวะภายในด้วยความร้อนทำให้เส้นโลหิตขยายจึงมีผลในการลดอาการบวมน้ำ - ลดความดันโลหิต ความเครียด ฯลฯ เช่น น้ำมันกระดังงา น้ำมันลาเวนเดอร์ และน้ำมันมะนาว - เพิ่มความดัน สำหรับคนที่มีโลหิตไหลเวียนไม่ดี โรคหิมะกัดเท้า เซื่องซึม ฯลฯ เช่น น้ำมันยูคาลิปตัส น้ำมันสะระแหน่ และน้ำมันลาเวนเดอร์ - ปรับการไหลเวียนของโลหิต สำหรับแก้บวม อักเสบ ฯลฯ เช่น น้ำมันมะนาว

ประโยชน์ของน้ำมันงา


วิธีการใช้น้ำมันงา สำหรับผิวหนัง : ใช้ทาบางๆ บนผิว รวมทั้งใบหน้า ทิ้งไว้สักครู่น้ำมันจะซึมซาบเข้าสู่ผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น โดยเฉพาะหลังอาบน้ำเสร็จ ก่อนนอน รวมทั้งก่อนและหลังโดนแสงแดด และสามารถใช้เป็นน้ำมันนวดแบบสปาได้ สำหรับเส้นผม : สระผมก่อนหนึ่งครั้ง แล้วแตะน้ำมันงาสดที่ปลายนิ้วมือเล็กน้อย แล้วทานวดที่หนังศรีษะให้ทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ใส่ครีมนวดผมแล้วล้างออก

คุณสมบัติของน้ำมันงา น้ำมันงามีวิตามิน E อยู่สูง ดี ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหา เรื่องผิวหนังแห้งแตก ผิวที่โดนแดดเป็นเวลานาน โดยน้ำมันงาจะช่วยบำรุงผิว ให้ความชุ่มชื้น ป้องกันการเหี่ยวย่น รักษาผิวที่ถูกทำลายจากแสงแดด และสามารถใช้กับผมแห้งแตกปลาย รากผมอ่อนแอ หลุดร่วงง่าย และผู้ที่ผมหงอกก่อนวัย ผมเสียจากแสงแดดและสารเคมี โดยน้ำมันงาช่วยในการบำรุงรากผมให้รากผมแข็งแรง เส้นผมสุขภาพดี และสามารถใช้เป็นน้ำมันนวดตัว สมานกระดูก เคล็ดขัดยอก เหมาะทั้งการนวดแผนโบราณและสปา

น้ำมันงา(ต่อ)


"งา" เป็นพืชไร่ล้มลุก ที่มีเมล็ดขนาดเล็ก สีดำ หรือ ขาว ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ปกติเราจะใช้เม็ดงาเป็นส่วนปรุงแต่งอาหารพวกขนมหลายชนิด เช่น ขนมถั่วกระจุก ถั่วตัด สลัดงา กระยาสารท ขนมคอเป็ด ขนมถั่วแปบ และพวกน้ำจิ้มทอดมัน สุกี้ ฯลฯ เนื่องจากเมื่อนำมาคั่วแล้วจะมีกลิ่นหอม น่ารับประทานจากการศึกษาพบว่าเมล็ดงาจัดเป็นอาหารที่มีคุณค่าน่าสนใจชนิดหนึ่ง เพราะในแต่ละเมล็ดเล็ก ๆ จะมีสารอาหารสำคัญ ๆ เข้าไปแออัดยัดเยียดอยู่เต็มไปหมด ไม่ว่จะเป็นโปรตีน ไขมัน วิตามิน และเกลือแร่ต่าง ๆ ไขมันในงาจะมีอยู่มากประมาณ 45-57 % จัดเป็นไขมันที่มีคุณภาพดีเพราะมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง และไม่เกิดการเหม็นหืนง่าย เนื่องจากมีสารกันหืนตามธรรมชาติ นอกจากนั้นยังช่วยลดคอเรสเตอรอลในเลือกด้วยส่วนโปรตีนก็มีอยู่ไม่น้อยกว่า 20% เป็นโปรตีนที่มีคุณภาพสุง เพราะมีกรดอะมิโนที่จำเป็นอยู่ครบทุกชนิด โดยเฉพาะเมธิโอนิน ซึ่งมีอยู่น้อยในโปรตีนถั่วเหลือง แต่กลับมีมากในงา ดังนั้นผู้ที่บริโภคอาหารมังสวิรัติ ซึ่งร่างกายจะได้รับโปรตีนจากธัญพืช จึงต้องบริโภคเมล็ดงาร่วมกับเมล็ดถั่วด้วย จึงจะได้รับกรดอะมิโนที่จำเป็นอย่างเพียงพอในเมล็ดงา จะอุดมในด้วยวิตามินบีทุกชนิด (ยกเว้นวิตามิน บี 12) ซึ่งจะช่วยในการบำรุงสมอง ประสาท และป้องกันโรคเหน็บชา ส่วนเกลือแร่จะมีมากถึง 4.1-6.5% ที่สำคัญ ก็คือ พวกธาตุเหล็ก ไอโอดีน สังกะสี แคลเซียม และฟอสฟอรัส โดยเฉพาะแคลเซียม และฟอสฟอรัสในงาจะมีอยู่มากกว่าผักชนิดอื่น ๆ ถึง 40 และ 20 เท่า ตามลำดับ ดังนั้นงาจึงเป็นแหล่งของสารอาหารที่น่าสนใจอย่างหนึ่งที่อาจจะช่วยบรรเทาโรคบางชนิดได้ เช่น โรคเหน็บชา โรคปวดตามข้อกระดูก เป็นต้น

น้ำมันงา


"งา" อาหารต้านโรค งาเป็นพืชที่มีคุณค่าอาหารสูงมาก สูงจนทำให้งงว่าคุณค่ามากมายจนจำไม่ไหวนี้ เข้าไปอัดอยู่ในเมล็ดงา เมล็ดจ้อยนั้นได้อย่างไร เมล็ดงามีน้ำมันสูงถึง 35-57%น้ำมันที่สกัดได้เป็นน้ำมันที่ดีเยี่ยมคือ มีกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวสูง กรดนี้ช่วยควบคุมระดับโคเลสเตอรอลไม่ให้มีมากเกินไป ป้องกันไม่ให้หลอดเลือดแข็ง ป้องกันโรคหัวใจและโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดบางชนิด โปรตีนในงาก็มีมากไม่น้อยเป็นโปรตีนที่จำเป็นสำหรับผู้ที่ถือมังสวิรัติ สำหรับผู้ที่ไม่บประทานเนื้อจะพึ่งโปรตีนจากถั่ว ซึ่งเป็นโปรตีนที่ขาดกรดอะมิโนที่ชื่อเมธิโอนีน ซึ่งเจ้าเมธิโอนีนนี้กลับมีมากในโปรตีนของงา ดังนั้น ถ้าเรากินถั่วพร้อมกับงา เราก็จะได้โปรตีนครบถ้วน งา เป็นอาหารที่มีแร่ธาตุมาก ที่สำคัญคือ ธาตุเหล็ก , ไอโอดีน , สังกะสี , แคลเซียมฟอสฟอรัส งา มีแคลเซียมมากกว่าพืชผักทั่วไปถึง 40 เท่า มีฟอสฟอรัสมากกว่าพืชผักทั่วไปถึง 20 เท่า ซึ่ง ธาตุ 2 ตัวนี้ เป็นธาตุที่สำคัญ ในการเสริมสร้าง กระดูก ฉะนั้น จึงควรให้เด็ก ๆ กินงากระดูกจะได้แข็งแรง เจริญเติบโต สูงใหญ่ สำหรับสุภาพสตรีในวัยหมดประจำเดือนไปแล้ว ก็ควรรับประทานงามาก ๆ เพราะจะได้แคลเซียม เนื่องจากคนหมดประจำเดือนจะบกพร่องในฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำให้มีการดึงแคลเซียมออกมาจากกระดูก โอกาสที่จะเป็นโรคกระดูกเสื่อมก็มีมาก งา ยังเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี คือนอกจากมีวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 อยู่มากแล้ว ยังมีวิตามินบี 5 วิตามินบี6 วิตามินบี9 ไบโอติน โคลิน ไอโนสิตอล กรดพาราอะมิโนเบนโซอิค (ชื่อแปลก ๆ พวกนี้เป็นวิตามินบีทั้งสิ้น) และเนื่องจากกลุ่มวิตามินบี ช่วยบำรุงประสาท ดังนั้น ท่านที่มีอาการไมสบายต่าง ๆ ที่เกิดจากระบบประสาท เช่น นอนไม่หลับ อ่อนเปลี้ยเพลียแรง เป็นเหน็บชา ปวดเส้นตามตัว แขน ขา เบื่ออาหาร ท้องผูก เมื่อยสายตา ควรหันมารบประทานงาเป็นประจำ นอกจากสารอาหารดังกล่าวแล้วในงายังมีกรดไขมันลิโนเลอิคอยู่มาก ซ่งกรดไขมันนี้ จำเป็นต่อการเจริญเติบโต จำเป็นต่อความชุ่มชื้นของผิวหนัง เพราะเป็นส่วนประกอบของผนังเซลล์ลิโนเลอิค ยังช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในเลือดอีกด้วย ที่สำคัญ งายังเป็นอาหารต้านมะเร็วด้วย นักวิทยาศาสตร์หลายท่านกล่าวว่าสาร "เซซามอล" ที่มีอยุ่ในงานั้นป้องกันมะเร็งได้ และยังทำให้ร่างกายแก่ข้าลงอีกด้วย จะเห็นได้ว่า "งาเป็นอาหารที่มีคุณค่า" ชาวจีนถึงเปรียบไว้ว่า "กินงามีคุณค่าเปรียบได้ดั่งกินหยก"งา มีชื่อสามัญ : Sesame, ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Sesamum inaicum linn. เรียกตามภาษาถิ่นทั่วไป ภาคกลาง : งา งาขาว งาดำ , ภาคเหนือ : งา งาขาว งาดำ งาขี้ม้อน ภาคใต้ : งา ภาคอีสาน : .งา งาขาว งาดำ งามี2 ชนิด : งาดำ (เมล็ดแบรี) และเมล็ดกลม มีสีดำหรือสีดำ-แดง และงาขาว (เมล็ดแบบรี) สีขาว ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์ สรรพคุณทางยา : ชาวจีน ถือว่าเป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงกำลังทำให้ร่างกายแข็งแรง และอายุยืน ชาวไทยใช้งารักษาโรคเกี่ยวกับข้อ และกระดูก ช่วยลดความตึงของผิวบริเวณที่ฟกช้ำ บวม แผลไฟไหม้ ส่วนที่เกี่ยวกับเครื่องสำอางค์ สารสกัดน้ำมันงา ใช้ผสมผลิตภัณฑ์เสริมความงามหลายชนิด อาทิเช่น สบู่ โลชั่นทาผิว ครีมทาผม ครีมนวดผม ฯลฯ ทำให้ผิวพรรณนุ่มเนียน ผุดผ่อง ไม่แห้งแตกและหยาบกร้าน ช่วยทำให้เส้นผมมันวาว ดกดำ และชะลอความหงอกของผมไว้ได้นานยิ่งขึ้น

วันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2551

ไพล สมุนไพลใกล้ตัว


ไพล
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Zingiber montanum (Koenig) Link ex Dietr.
ชื่อพ้อง : Z.purpureum Roscoe
วงศ์ : Zingiberaceae
ชื่ออื่น : ปูลอย ปูเลย (ภาคเหนือ) ว่านไฟ (ภาคกลาง) มิ้นสะล่าง(ฉาน-แม่ฮ่องสอน)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุกสูง 0.7-1.5 เมตร มีเหง้าใต้ดิน เปลือกสีน้ำตาลแกมเหลือง เนื้อในสีเหลืองถึงเหลืองแกมเขียว แทงหน่อหรือลำต้นเทียมขึ้นเป็นกอ ซึ่งประกอบด้วยกาบหรือโคนใบหุ้มซ้อนกัน ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปขอบขนานแกมใบหอก กว้าง 3.5-5.5 เซนติเมตร ยาว 18-35 เซนติเมตร ดอกช่อ แทงจากเหง้าใต้ดิน กลีบดอกสีนวล ใบประดับสีม่วง ผลเป็นผลแห้งรูปกลมส่วนที่ใช้ : เหง้าแก่จัด เก็บหลังจากต้นไพลลงหัวแล้ว
สรรพคุณ :
เหง้า - เป็นยาแก้ท้องขึ้น ท้องอืดเฟ้อ ขับลม- แก้บิด ท้องเดิน ขับประจำเดือนสตรี ทาแก้ฟกบวม แก้ผื่นคัน- เป็นยารักษาหืด- เป็นยากันเล็บถอด- ใช้ต้มน้ำอาบหลังคลอด
น้ำคั้นจากเหง้า - รักษาอาการเคล็ดขัดยอก ฟกบวม แพลงช้ำเมื่อย
หัว - ช่วยขับระดู ประจำเดือนสตรี เลือดร้าย แก้มุตกิตระดูขาว แก้อาเจียน แก้ปวดฟัน
ดอก - ขับโลหิตกระจายเลือดเสีย
ต้น - แก้ธาตุพิการ แก้อุจาระพิการ
ใบ - แก้ไข้ ปวดเมื่อย แก้ครั่นเนื้อครั่นตัว แก้เมื่อย
วิธีและปริมาณที่ใช้
แก้ท้องขึ้น ท้องอืดท้องเฟ้อ ขับลมใช้เหง้าแห้งบดเป็นผง รับประทานครั้งละ ½ ถึง 1 ช้อนชา ชงน้ำร้อน ผสมเกลือเล็กน้อย ดื่ม
รักษาอาการเคล็ดขัดยอก ฟกช้ำบวม ข้อเท้าแพลงใช้หัวไพลฝนทาแก้ฟกบวม เคล็ด ขัด ยอกใช้เหง้าไพล ประมาณ 1 เหง้า ตำแล้วคั้นเอาน้ำทาถูนวดบริเวณที่มีอาการ หรือตำให้ละเอียด ผสมเกลือเล็กน้อยคลุกเคล้า แล้วนำมาห่อเป็นลูกประคบ อังไอน้ำให้ความร้อน ประคบบริเวณปวดเมื่อยและบวมฟกช้ำ เช้า-เย็น จนกว่าจะหาย หรือทำเป็นน้ำมันไพลไว้ใช้ก็ได้ โดยเอาไพล หนัก 2 กิโลกรัม ทอดในน้ำมันพืชร้อนๆ 1 กิโลกรัม ทอดจนเหลืองแล้วเอาไพลออก ใส่กานพลูผงประมาณ 4 ช้อนชา ทอดต่อไปด้วยไฟอ่อนๆ ประมาณ 10 นาที กรองแล้วรอจนน้ำมันอุ่นๆ ใส่การบูรลงไป 4 ช้อนชา ใส่ภาชนะปิดฝามิดชิด รอจนเย็น จึงเขย่าการบูรให้ละลาย น้ำมันไพลนี้ใช้ทาถูนวดวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น หรือเวลาปวด (สูตรนี้เป็นของ นายวิบูลย์ เข็มเฉลิม อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา)
แก้บิด ท้องเสียใช้เหง้าไพลสด 4-5 แว่น ตำให้ละเอียด คั้นเอาแต่น้ำเติมเกลือครึ่งช้อนชา ใช้รับประทาน หรือฝนกับน้ำปูนใส รับประทาน
เป็นยารักษาหืดใช้เหง้าไพลแห้ง 5 ส่วน พริกไทย ดีปลี อย่างละ 2 ส่วน กานพลู พิมเสน อย่างละ ½ ส่วน บดผสมรวมกัน ใช้ผงยา 1 ช้อนชา ชงน้ำร้อนรับประทาน หรือปั้นเป็นลูกกลอนด้วยน้ำผึ้ง ขนาดเท่าเม็ดพุทรา รับประทานครั้งละ 2 ลูก ต้องรับประทานติดต่อกันเวลานาน จนกว่าอาการจะดีขึ้น
เป็นยาแก้เล็บถอดใช้เหง้าไพลสด 1 แง่ง ขนาดเท่าหัวแม่มือ ตำให้ละเอียดผสมเกลือและการบูร อย่างละประมาณครึ่งช้อนชา แล้วนำมาพอกบริเวณที่เป็นหนอง ควรเปลี่ยนยาวันละครั้ง
ช่วยทำให้ผิวหนังชุ่มชื่น และเป็นยาช่วยสมานแผลด้วยใช้เหง้าสด 1 แง่ง ฝานเป็นชิ้นบางๆ ใช้ต้มรวมกับสมุนไพรอื่นๆ เนื่องจากไพลมี่น้ำมันหอมระเหย
สารเคมี - Alflabene : 3,4 - dimethoxy benzaldehyde, curcumin, beta-sitosterol, Volatile Oils

รู้จักน้ำมันมะพร้าว


รู้จักน้ำมันมะพร้าว
น้ำมันมะพร้าวอาจแบ่งได้เป็น 2 ชนิดหลักๆ ได้แก่ น้ำมันมะพร้าวทั่วไป (RBD Coconut Oil) และน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ( Virgin Coconut Oil ) ซึ่งน้ำมันมะพร้าว อย่างหลังกำลังได้รับความสนใจอย่างสูงเนื่องจากเป็นที่นิยมและยอมรับอย่างกว้างขวางว่ามีคุณประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ

น้ำมันมะพร้าวทั่วไป ( RBD Coconut Oil )
น้ำมันมะพร้าวที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป เช่นใช้ในการทอดอาหาร หรือในการผลิตอาหารต่างๆ เป็นน้ำมันมะพร้าวที่ผลิตจากเนื้อมะพร้าวแห้ง (Copra) น้ำมันที่สกัดได้จะต้องผ่านขบวนการทำให้บริสุทธิ์ (Refined) การฟอกสี (Bleached) และกำจัดกลิ่น (Deodorized) ก่อนที่จะนำไปบริโภค น้ำมันชนิดนี้บางครั้งจะถูกกล่าวถึงว่าเป็น “น้ำมันธรรมชาติ” (Natural Coconut Oil) แต่ความจริงเป็นน้ำมันมะพร้าวชนิด RBD (Refined, Bleached, Deodorized) น้ำมันชนิดนี้จะมีความหนืด และมีสีเหลืองอ่อน
น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (Virgin Coconut Oil)
น้ำมันมะพร้าวอีกชนิดหนึ่ง รู้จักกันในชื่อ “น้ำมันมะพร้าวเวอร์จิ้น” (Virgin Coconut Oil) หรือน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ซึ่งมีขบวนการผลิตที่พิถีพิถันมาก ที่เรียกว่า Cold Process หรือ Cold Pressed เพราะไม่มีการใช้ความร้อนเลย ทำให้ได้น้ำมันที่มีคุณภาพพิเศษ ที่มีกลิ่นหอม รสชาติดี อุดมด้วยวิตามิน E และสาร Antioxidants และได้รับการกล่าวขวัญว่ามีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ
ขั้นตอนการผลิตน้ำมันมะพร้าวทั่วไป (RBD)
เนื้อมะพร้าวจะถูกนำมาทำให้แห้ง โดยการตากหรืออบในเตา เพื่อให้น้ำในเนื้อมะพร้าว ลดลงจากประมาณ 50% เหลือ 3.5% จากนั้นเนื้อมะพร้าวแห้ง (Copra) จะถูกบด และนำไปผสมกับน้ำเดือด ก่อนที่จะผ่านต่อไปยังเครื่องนวด เพื่อคั้นน้ำมันออกมาให้ได้มากที่สุด หลังจากแยกกากออก ส่วนผสมที่ได้จะถูกเคี่ยวช้าๆด้วยความร้อนต่ำ เป็นเวลานานเพื่อให้ น้ำระเหยออกไป จนเหลือแต่น้ำมัน

(หมายเหตุ: ผู้ผลิตบางรายอาจใช้วิธีต้ม Copra ที่บดแล้ว และบางรายอาจใช้สารละลาย เพื่อช่วยให้สกัดน้ำมันได้มากขึ้น น้ำมันที่ได้จะต้องผ่านขบวนการกรอง เพื่อแยกสิ่งแปลกปลอมออกแล้วนำไปต้มเป็นเวลาหลายชั่วโมง เพื่อขจัดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ การฟอกสีและการกรองอีกครั้งจะทำให้ได้น้ำมันมะพร้าวที่ไม่มีสี และปราศจากกลิ่นหรือแม้แต่รสชาติ ผู้ผลิตส่วนมากจะเติมสี เพราะเกรงว่าน้ำมันใสๆจะไม่ถูกใจผู้บริโภค

ขั้นตอนการผลิตน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ Virgin Coconut Oil
ในขบวนการผลิตจะใช้ระบบ Cold Press ซึ่งจะไม่มีการใช้ความร้อนใดๆทั้งสิ้น งานส่วนใหญ่จะทำด้วยมือ โดยเริ่มจากการคัดเฉพาะมะพร้าวคุณภาพดี จากนั้นนำเนื้อมะพร้าวสดไป “ขูด” หรือ “บด” โดยใช้เครื่องขูด/บดมะพร้าว (Manual Press) น้ำกะทิที่ได้จะถูกนำไปผสมกับน้ำมะพร้าว และปล่อยทิ้งไว้ให้แยกตัว (Culturing) ซึ่งใช้เวลาไม่เกิน 20 ชั่วโมง ส่วนผสมจะแยกตัวออกเป็น 3 ชั้น ชั้นบนจะเป็นส่วนของโปรตีน ชั้นกลางจะเป็นน้ำมันมะพร้าว และชั้นล่างสุดจะเป็นน้ำ น้ำมันที่ได้จะถูกแยกออกมา กรอง และแยกส่วนน้ำทิ้งไป แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้แยกตัว (Resting) ขบวนการที่ปล่อยน้ำมันทิ้งไว้ (Resting) ตามด้วยการแยกตัวและแยกน้ำออก (Decanting) และกรอง (Filtering) เรียกว่า “Curing” หรือ การบ่ม น้ำมันมะพร้าวจะถูกแยกตัว และกรองครั้งสุดท้าย หลังสิ้นสุด 3 สัปดาห์ น้ำมันที่ได้จะเป็น น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ Virgin Coconut Oil ซึ่งจะมีคุณสมบัติพิเศษคือ นอกจากจะใสบริสุทธิ์แล้ว ยังจะมีกลิ่นหอม และรสชาติของมะพร้าวอ่อนๆอีกด้วย สามารถเก็บไว้ได้นานเป็นปีโดยไม่ต้องใส่ตู้เย็น และปราศจากกลิ่นหืนใดๆทั้งสิ้น ทั้งนี้เป็นเพราะสาเหตุอันเนื่องมาจากสาร Tocopherol ในน้ำมันไม่ถูกทำลายลงด้วยขบวนการใช้ความร้อน ซึ่งสารตัวนี้ทำหน้าที่เสมือนสารกันบูดโดยธรรมชาติ น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (Virgin) จะแข็งตัวเมื่ออุณหภูมิลดลงต่ำกว่า25 องศา