วิธีการสกัดน้ำมันพืชโดยใช้ตัวทำละลาย (solvent extraction)
ในทางอุตสาหกรรมมีการนำเอาตัวทำละลายมาช่วยในการสกัดน้ำมันให้ได้น้ำมันออกมามากที่สุด ส่วนใหญ่การใช้ตัวทำละลายจะสกัดได้มากกว่า 90% ของปริมาณน้ำมันที่มีในวัตถุดิบ
การสกัดน้ำมันพืชด้วยตัวทำละลาย เป็นการสกัดที่ใช้ในโรงงานผลิตน้ำมันพืชทั่วไป โดยนำวัตถุที่เป็นส่วนของพืชให้น้ำมันมาย่อยขนาดเล็กลง อาจนำไปตากแดดหรืออบไล่ความชื้นก่อน แล้วจึงแช่ในตัวทำละลาย ตัวทำละลายมีอยู่หลายชนิด เช่น อีเทอร์ เบนซิน และที่นิยมมากที่สุดคือ เฮกเซน ก็จะได้สารละลายที่เป็นส่วนผสมของน้ำมันพืชและเฮกเซนออกมา จากนั้นจึงนำไปแยกตัวทำละลายออกจากน้ำมันพืชโดยการระเหยโดยใช้ความร้อน น้ำมันที่ได้ยังมีสิ่งเจือปนอยู่หลายอย่าง เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต กรดไขมันอิสระ กลีเซอร์ไรด์ น้ำมันหอมระเหย ซึ่งการผลิตในโรงงานจะนำไปกลั่นเพื่อเอาสิ่งเจือปนเหล่านั้นออกก่อน โดยการสกัดยางเหนียวโดยใช้กรดฟอสฟอริก และใช้โซดาไฟหรือโซเดียมไฮดรอกไซด์กำจัดกรดไขมันอิสระ ทำการฟอกสีโดยการใช้ผงถ่านแล้วกรองออก กำจัดกลิ่นโดยใช้ไอน้ำที่อุณหภูมิ 220-270 องศาเซลเซียส ภายใต้สุญญากาศเป็นเวลา 2 ชั่วโมง กลิ่นต่างๆ จะถูกดูดออกไป และเติมไฮโดรเจนอีกครั้งเพื่อป้องกันการหืน และเติมวิตามินสังเคราะห์
น้ำมันพืชที่สกัดด้วยวิธีนี้ เรียกว่า น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี (Process oil) จะใส มีสีเหลืองอ่อนหรือแก่ ไม่มีรส ไม่มีกลิ่น แทบจะไม่เหลือคุณสมบัติทางกายภาพเดิมของ สี กลิ่น รส อยู่เลย และคุณค่าสารอาหารจะหายไประหว่างการผลิต ซึ่งเป็นน้ำมันที่ผลิตจากโรงงานโดยทั่วไปและเราส่วนใหญ่บริโภคอยู่ทุกวัน เพราะเป็นการสกัดทีให้น้ำมันปริมาณมาก มีอายุทนนาน ไม่เหม็นหืน ถ้าพิจารณาตามกระบวนการผลิตจะเห็นได้ว่า คุณสมบัติทางเคมีก็เปลี่ยนไปมาก และยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพเพราะผ่านสารเคมี
วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
น้ำมันพืชใสปิ๊งดีจริงหรือ?
วิธีการสกัดน้ำมันพืชโดยใช้ตัวทำละลาย (solvent extraction)
ในทางอุตสาหกรรมมีการนำเอาตัวทำละลายมาช่วยในการสกัดน้ำมันให้ได้น้ำมันออกมามากที่สุด ส่วนใหญ่การใช้ตัวทำละลายจะสกัดได้มากกว่า 90% ของปริมาณน้ำมันที่มีในวัตถุดิบ
การสกัดน้ำมันพืชด้วยตัวทำละลาย เป็นการสกัดที่ใช้ในโรงงานผลิตน้ำมันพืชทั่วไป โดยนำวัตถุที่เป็นส่วนของพืชให้น้ำมันมาย่อยขนาดเล็กลง อาจนำไปตากแดดหรืออบไล่ความชื้นก่อน แล้วจึงแช่ในตัวทำละลาย ตัวทำละลายมีอยู่หลายชนิด เช่น อีเทอร์ เบนซิน และที่นิยมมากที่สุดคือ เฮกเซน ก็จะได้สารละลายที่เป็นส่วนผสมของน้ำมันพืชและเฮกเซนออกมา จากนั้นจึงนำไปแยกตัวทำละลายออกจากน้ำมันพืชโดยการระเหยโดยใช้ความร้อน น้ำมันที่ได้ยังมีสิ่งเจือปนอยู่หลายอย่าง เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต กรดไขมันอิสระ กลีเซอร์ไรด์ น้ำมันหอมระเหย ซึ่งการผลิตในโรงงานจะนำไปกลั่นเพื่อเอาสิ่งเจือปนเหล่านั้นออกก่อน โดยการสกัดยางเหนียวโดยใช้กรดฟอสฟอริก และใช้โซดาไฟหรือโซเดียมไฮดรอกไซด์กำจัดกรดไขมันอิสระ ทำการฟอกสีโดยการใช้ผงถ่านแล้วกรองออก กำจัดกลิ่นโดยใช้ไอน้ำที่อุณหภูมิ 220-270 องศาเซลเซียส ภายใต้สุญญากาศเป็นเวลา 2 ชั่วโมง กลิ่นต่างๆ จะถูกดูดออกไป และเติมไฮโดรเจนอีกครั้งเพื่อป้องกันการหืน และเติมวิตามินสังเคราะห์
น้ำมันพืชที่สกัดด้วยวิธีนี้ เรียกว่า น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี (Process oil) จะใส มีสีเหลืองอ่อนหรือแก่ ไม่มีรส ไม่มีกลิ่น แทบจะไม่เหลือคุณสมบัติทางกายภาพเดิมของ สี กลิ่น รส อยู่เลย และคุณค่าสารอาหารจะหายไประหว่างการผลิต ซึ่งเป็นน้ำมันที่ผลิตจากโรงงานโดยทั่วไปและเราส่วนใหญ่บริโภคอยู่ทุกวัน เพราะเป็นการสกัดทีให้น้ำมันปริมาณมาก มีอายุทนนาน ไม่เหม็นหืน ถ้าพิจารณาตามกระบวนการผลิตจะเห็นได้ว่า คุณสมบัติทางเคมีก็เปลี่ยนไปมาก และยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพเพราะผ่านสารเคมี
ในทางอุตสาหกรรมมีการนำเอาตัวทำละลายมาช่วยในการสกัดน้ำมันให้ได้น้ำมันออกมามากที่สุด ส่วนใหญ่การใช้ตัวทำละลายจะสกัดได้มากกว่า 90% ของปริมาณน้ำมันที่มีในวัตถุดิบ
การสกัดน้ำมันพืชด้วยตัวทำละลาย เป็นการสกัดที่ใช้ในโรงงานผลิตน้ำมันพืชทั่วไป โดยนำวัตถุที่เป็นส่วนของพืชให้น้ำมันมาย่อยขนาดเล็กลง อาจนำไปตากแดดหรืออบไล่ความชื้นก่อน แล้วจึงแช่ในตัวทำละลาย ตัวทำละลายมีอยู่หลายชนิด เช่น อีเทอร์ เบนซิน และที่นิยมมากที่สุดคือ เฮกเซน ก็จะได้สารละลายที่เป็นส่วนผสมของน้ำมันพืชและเฮกเซนออกมา จากนั้นจึงนำไปแยกตัวทำละลายออกจากน้ำมันพืชโดยการระเหยโดยใช้ความร้อน น้ำมันที่ได้ยังมีสิ่งเจือปนอยู่หลายอย่าง เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต กรดไขมันอิสระ กลีเซอร์ไรด์ น้ำมันหอมระเหย ซึ่งการผลิตในโรงงานจะนำไปกลั่นเพื่อเอาสิ่งเจือปนเหล่านั้นออกก่อน โดยการสกัดยางเหนียวโดยใช้กรดฟอสฟอริก และใช้โซดาไฟหรือโซเดียมไฮดรอกไซด์กำจัดกรดไขมันอิสระ ทำการฟอกสีโดยการใช้ผงถ่านแล้วกรองออก กำจัดกลิ่นโดยใช้ไอน้ำที่อุณหภูมิ 220-270 องศาเซลเซียส ภายใต้สุญญากาศเป็นเวลา 2 ชั่วโมง กลิ่นต่างๆ จะถูกดูดออกไป และเติมไฮโดรเจนอีกครั้งเพื่อป้องกันการหืน และเติมวิตามินสังเคราะห์
น้ำมันพืชที่สกัดด้วยวิธีนี้ เรียกว่า น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี (Process oil) จะใส มีสีเหลืองอ่อนหรือแก่ ไม่มีรส ไม่มีกลิ่น แทบจะไม่เหลือคุณสมบัติทางกายภาพเดิมของ สี กลิ่น รส อยู่เลย และคุณค่าสารอาหารจะหายไประหว่างการผลิต ซึ่งเป็นน้ำมันที่ผลิตจากโรงงานโดยทั่วไปและเราส่วนใหญ่บริโภคอยู่ทุกวัน เพราะเป็นการสกัดทีให้น้ำมันปริมาณมาก มีอายุทนนาน ไม่เหม็นหืน ถ้าพิจารณาตามกระบวนการผลิตจะเห็นได้ว่า คุณสมบัติทางเคมีก็เปลี่ยนไปมาก และยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพเพราะผ่านสารเคมี
การสกัดน้ำมันพืชด้วยวิธีธรรมชาติ

วิธีการสกัดน้ำมันพืชโดยวิธีทางธรรมชาติ
เป็นวิธีการที่ไม่ใช้สารเคมีในการสกัดและไม่ใช้ความร้อนสูง
- วีธีการเคี่ยว(Rendering) เป็นการนำเอาวัตถุดิบ เช่น เนื้อมะพร้าว เนื้อปาล์ม มาเคี่ยวแห้ง หรืเคี่ยวเปียก โดยการใช้ความร้อนปานกลางเคี่ยวจนน้ำมันแยกตัวออกมา ลอยตัวเหนือน้ำหรือเคี่ยวจนน้ำระเหยออกหมด ก็จะได้น้ำมันพืชออกมา น้ำมันชนิดนี้คุณภาพของน้ำมันยังไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากผ่านความร้อนเป็นเวลานาน กลิ่นไม่หอมมาก บางครั้งมีกลิ่นไหม้ปนมากับน้ำมัน สภาพของน้ำมันเปลื่ยนไป เช่น เหม็นหืนเร็ว เมื่อนำมาทาตัวจะเหนียวเหนอะหนะ ซึมผ่านผิวหนังได้ยากกว่าน้ำมันที่สกัดโดยไม่ผ่านความร้อน
- วิธีการหมัก(Fermentation) ใช้กับการสกัดน้ำมันมะพร้าวโดยการคั้นน้ำกะทิจากเนื้อมะพร้าวแห้งในอัตราส่วนเนื้อมะพร้าวขูด 1 ส่วน ต่อน้ำ 1 ส่วน โดยใช้น้ำอุ่นๆ เมื่อได้กะทิออกมาแล้วนำใส่แก้วทรงสูง ปิดฝาด้วยพลาสติกรัดยาง ตั้งทิ้งไว้ น้ำมันจะแยกตัวออกจากน้ำ ลอยตัวอยู่ด้านบน จากนั้นตักน้ำมันออกมากรองด้วยผ้าขาวบางหรือกระดาษกรอง การสกัดน้ำมันมะพร้าวด้วยวิธีนี้จำได้น้ำมันออกมา 20-40%
- วิธีการบีบอัดเครื่องไฮโดรลิก (Hydraulic Press) ใช้เครื่องแบบไฮโดรลิกเป็นการใช้แรงบีบใช้ได้ก็บพืชน้ำมันที่มีเปลือกนิ่ม ไม่แข็งเกินไป เช่น ถั่วเหลือง รำข้าว ถั่วลิสง น้ำมันที่ได้จะมีคุณภาพดี อาจต้องนำวัตถุไปอบหรือตากแดดก่อนเพื่อกระตุ้นน้ำมันบีบออกง่าย แต่จะได้น้ำมันน้อย คือ ประมาณ 20-30% เมื่อได้ยังต้องนำไปกรองด้วยกระดาษกรอง
- วิธีบีบอัดโดยเครื่องสกรูเพรส (Screw Press) ใช้กับพืชน้ำมันเปลือกแข็ง หรือพืชน้ำมันที่ไม่สามารถบีบได้โดยใช้เครื่องไฮโดรลิก เช่น เมล็ดงา เมล็ดทานตะวัน น้ำมันจะถูกบีบออกมาโดยแรงบดไประหว่างสกรูในแนวนอน จนได้น้ำมันออกมา น้ำมันประเภทนี้จัดเป็นน้ำมันคุณภาพดี เพราะไม่ผ่านความร้อนเลย แต่จะมีความร้อนเกิดขึ้นจากแรงเสียดสีระหว่างการบด ปริมาณน้ำมันที่สกัดได้ประมาณ 30-40% มากกว่าการสกัดด้วยไฮโดรลิก เมื่อได้น้ำมันจะต้องนำไปกรองด้วยกระดาษกรอง ยังคงมี สี กลิ่น รส ตามธรรมชาติ
วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในการใช้น้ำมันงา

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในการใช้น้ำมันงา
- น้ำมันงาผสมน้ำมันมะพร้าวในปริมาณเท่าๆ กัน ใช้นวดหนังศรีษะและหมักผมก่อนสระประมาณ 15 นาที จะทำให้เส้นผมหยุดร่วง และเริ่มกลับมาดกดำอีกครั้ง
- น้ำมันงาช่วยทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นอัมพาต อัมพฤกษ์ ปวดตามข้อตามแขน ใช้น้ำมันงานวดเป็นประจำจะมีอาการดีขึ้น
ข้อมูลจาก วารสาร เกษตรธรรมชาติ ฉบับที่ 7/2549
- น้ำมันงาผสมน้ำมันมะพร้าวในปริมาณเท่าๆ กัน ใช้นวดหนังศรีษะและหมักผมก่อนสระประมาณ 15 นาที จะทำให้เส้นผมหยุดร่วง และเริ่มกลับมาดกดำอีกครั้ง
- น้ำมันงาช่วยทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นอัมพาต อัมพฤกษ์ ปวดตามข้อตามแขน ใช้น้ำมันงานวดเป็นประจำจะมีอาการดีขึ้น
ข้อมูลจาก วารสาร เกษตรธรรมชาติ ฉบับที่ 7/2549
สนใจสอบถามข้อมูลเพื่อสั่งซื้อสินค้า
หรือเป็นตัวแทนจำหน่ายได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์
0878254422 Email :info@purefromnatural.com
หรือเป็นตัวแทนจำหน่ายได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์
0878254422 Email :info@purefromnatural.com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)